ในยุคที่ชีวิตประจำวันเต็มไปด้วยความเร่งรีบ การเตรียมอาหารที่สดใหม่และดีต่อสุขภาพอาจเป็นเรื่องยุ่งยากสำหรับหลายคน ด้วยเหตุนี้ “อาหารแช่แข็ง” จึงได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในครัวเรือนยุคใหม่ ด้วยความสะดวกสบายที่มาพร้อมกับการรักษาคุณภาพของอาหาร วันนี้เราจะมาเจาะลึกถึงคำถามที่ว่า อาหารแช่แข็ง คืออะไร? ข้อดีข้อเสียของอาหารแช่แข็งมีอะไรบ้างที่คุณควรรู้ เพื่อให้คุณสามารถตัดสินใจเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ประเภทนี้ได้อย่างชาญฉลาดและเกิดประโยชน์สูงสุด รวมถึงทำความเข้าใจว่าทำไมบริการขนส่งแบบควบคุมอุณหภูมิถึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ขาดไม่ได้

อาหารแช่แข็ง คืออะไร
อาหารแช่แข็ง คือ อาหารที่ถูกแปรรูปและถนอมโดยใช้วิธีการแช่เยือกแข็งในอุณหภูมิต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง โดยทั่วไปจะอยู่ในช่วงอุณหภูมิ -12 ถึง -18 องศาเซลเซียสหรือต่ำกว่า เพื่อยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดการเน่าเสีย และชะลอการทำงานของเอนไซม์ต่าง ๆ ที่ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีและชีวภาพในอาหาร
การถนอมอาหารด้วยความเย็นจัดนี้ ทำให้อาหารสามารถเก็บได้นาน โดยยังคงรักษาคุณค่าทางโภชนาการไว้ได้ดีกว่าการเก็บในอุณหภูมิปกติ นอกจากนี้ยังช่วยกักเก็บสารอาหารไม่ให้สูญเสียไปกับแสงและความร้อน ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งตั้งแต่ต้นทางจนถึงมือผู้บริโภค รวมถึงขั้นตอนการขนส่งที่ต้องรักษาสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมไว้ตลอดเวลา
อาหารแช่แข็งมีอะไรบ้าง
ตลาดอาหารแช่แข็งมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และมีผลิตภัณฑ์หลากหลายประเภทให้เลือกสรร ครอบคลุมความต้องการที่แตกต่างกันของผู้บริโภค สามารถแบ่งออกได้เป็นหลายกลุ่มหลัก ๆ ดังนี้
วัตถุดิบแช่แข็ง
กลุ่มนี้เป็นที่นิยมอย่างมากสำหรับการนำไปประกอบอาหารในครัวเรือน เช่น
- เนื้อสัตว์และอาหารทะเลแช่แข็ง เช่น เนื้อหมู, เนื้อไก่, เนื้อวัว, ปลา, กุ้ง, ปลาหมึก ที่ผ่านการทำความสะอาดและหั่นเตรียมพร้อมสำหรับการปรุง
- ผักและผลไม้แช่แข็ง เช่น ถั่วลันเตา, แครอท, บรอกโคลี, ข้าวโพด, สตรอว์เบอร์รี, มะม่วง ซึ่งมักจะผ่านการลวกเพื่อยับยั้งเอนไซม์ก่อนแช่แข็ง ทำให้รักษาสีสันและคุณค่าทางโภชนาการได้ดี
อาหารปรุงสำเร็จแช่แข็ง (Ready Meals)
เป็นกลุ่มอาหารที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนเมืองที่ต้องการความรวดเร็วและสะดวกสบาย เช่น
- อาหารจานเดียว เช่น ข้าวผัด, ผัดกะเพรา, แกงเขียวหวานพร้อมข้าว, พาสต้า
- อาหารว่างและของทานเล่น เช่น นักเก็ต, เฟรนช์ฟรายส์, ลูกชิ้น, ไส้กรอก, เกี๊ยวซ่า
- เบเกอรี่แช่แข็ง เช่น ครัวซองต์, ขนมปัง, เค้ก ที่สามารถนำไปอบหรืออุ่นเพื่อรับประทานได้ทันที
ผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูปแช่แข็ง
เป็นการนำวัตถุดิบมาแปรรูปเบื้องต้นแล้วแช่แข็ง เพื่อเพิ่มความหลากหลายและสะดวกในการนำไปรับประทาน เช่น ไก่ปรุงรสแช่แข็ง, ฟิชฟิงเกอร์
ข้อดีข้อเสียของอาหารแช่แข็ง
การทำความเข้าใจถึงข้อดีข้อเสียของอาหารแช่แข็ง เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เราใช้งานผลิตภัณฑ์เหล่านี้ได้อย่างปลอดภัย
ข้อดีของอาหารแช่แข็ง
- ความสะดวกและรวดเร็ว อาหารแช่แข็งช่วยประหยัดเวลาในการเตรียมอาหาร สามารถนำมาอุ่นและรับประทานได้ทันที เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาจำกัด
- เก็บได้นาน ด้วยอุณหภูมิต่ำที่ช่วยหยุดการเจริญของจุลินทรีย์ ทำให้อาหารแช่แข็งมีอายุการเก็บรักษาที่ยาวนานกว่าอาหารสด
- คุณค่าทางโภชนาการ ตรงข้ามกับความเชื่อทั่วไป การแช่เยือกแข็งช่วยกักเก็บสารอาหารไม่ให้สูญเสียไปกับแสงและความร้อน บางครั้งอาหารแช่แข็งอาจมีสารอาหารมากกว่าอาหารสดที่เก็บไว้นาน
- หาซื้อง่าย สามารถหาซื้อได้ทั่วไปตามร้านสะดวกซื้อ ซูเปอร์มาร์เก็ต หรือสั่งซื้อออนไลน์
ข้อเสียของอาหารแช่แข็ง
- สารกันเสียและสารปรุงแต่ง อาหารแช่แข็งสำเร็จรูปบางชนิดอาจมีสารกันเสีย สารให้สี สารปรุงรส หรือเกลือในปริมาณที่สูง ซึ่งหากบริโภคเป็นประจำอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพได้
- เสื่อมสลายของพื้นผิวและรสชาติ การแช่แข็งอาจทำให้พื้นผิวของอาหารเปลี่ยนไป รสชาติอาจไม่เหมือนของสด โดยเฉพาะผักใบเขียวและผลไม้บางชนิด
- ราคาสูงกว่า อาหารแช่แข็งสำเร็จรูปมักมีราคาสูงกว่าการทำอาหารเองจากวัตถุดิบสด
- การสูญเสียสารอาหารบางส่วน แม้ว่าจะยังคงคุณค่าทางโภชนาการไว้ได้ดี แต่การแช่แข็งอาจทำให้สูญเสียวิตามินบางชนิด เช่น วิตามินซี และไฟเบอร์บางส่วน
อาหารที่ไม่ควรแช่แข็ง
แม้ว่าการแช่แข็งจะเป็นวิธีถนอมอาหารที่มีประสิทธิภาพ แต่ก็มีอาหารบางชนิดที่ไม่เหมาะกับการนำไปแช่แข็ง เพราะอาจทำให้เสียรสชาติ เนื้อสัมผัส หรือคุณภาพโดยรวมไปได้ง่าย หรือในบางกรณีอาจเป็นอันตรายด้วยซ้ำ
- ผักและผลไม้ที่มีน้ำมาก เช่น ผักสลัด, แตงกวา, แตงโม, ส้ม, มะเขือเทศ และมันฝรั่งดิบ เมื่อแช่แข็งแล้วจะนิ่มและเละ
- ผลิตภัณฑ์นม เช่น นมสด, โยเกิร์ต, ครีม และมายองเนส เพราะเมื่อแช่แข็งแล้วละลาย อาจมีการแยกตัวของไขมันและน้ำ ทำให้เนื้อสัมผัสเป็นลิ่ม ๆ หรือเป็นก้อน ไม่เหมือนเดิม
- ไข่ เช่น ไข่ดิบทั้งฟองจะแตกเมื่อแช่แข็ง ส่วนไข่ต้มจะแข็งกระด้าง
- อาหารที่มีส่วนผสมของแป้งบางชนิด เช่น พาสต้า ขนมปัง เพราะอาจจะทำให้รสสัมผัสไม่เหมือนเดิม
- เครื่องดื่มบางชนิด เช่น น้ำอัดลม เบียร์ ไวน์ เพราะอาจทำให้ภาชนะระเบิดได้
- เนื้อสัตว์ดิบหรืออาหารทะเลดิบที่เคยละลายแล้ว แต่ยังไม่ได้นำไปปรุงสุก ไม่ควร นำกลับไปแช่แข็งซ้ำเด็ดขาด เพราะระหว่างการละลาย แบคทีเรียสามารถเจริญเติบโตได้ และเมื่อแช่แข็งซ้ำและละลายอีกครั้ง แบคทีเรียจะเพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็ว ทำให้เสี่ยงต่ออาหารเป็นพิษ
เคล็ดลับการเลือกซื้อและเก็บรักษาอาหารแช่แข็ง
การเลือกซื้ออาหารแช่แข็งที่มีคุณภาพต้องคำนึงถึงหลายปัจจัย ควรเลือกซื้อจากแบรนด์ที่เชื่อถือได้ และมีตราสัญลักษณ์รับรองคุณภาพ อ่านฉลากข้อมูลโภชนาการและส่วนประกอบให้ละเอียด หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีสารกันเสียหรือเกลือในปริมาณสูงเกินไป
ในการเก็บรักษา ควรเก็บในตู้แช่แข็งที่มีอุณหภูมิคงที่ ไม่ควรนำออกจากตู้แช่และใส่กลับซ้ำ เพราะจะทำให้คุณภาพเสื่อมลง ควรติดฉลากวันที่ซื้อและใช้ตามลำดับ FIFO (First In First Out)
เมื่อต้องการใช้ ควรละลายน้ำแข็งในตู้เย็นช่องแช่เย็น ไม่ควรละลายในอุณหภูมิห้องหรือใช้น้ำร้อน เพราะจะเสี่ยงต่อการเจริญของเชื้อโรค
ทำไมการขนส่งควบคุมอุณหภูมิถึงจำเป็นสำหรับอาหารแช่แข็ง
การขนส่งอาหารแช่แข็งต้องควบคุมอุณหภูมิตลอดกระบวนการ เพื่อรักษาคุณภาพและความปลอดภัยของอาหาร หากอุณหภูมิขึ้นลงผิดปกติ อาจทำให้เกิด “Cold Chain Break” ซึ่งส่งผลต่อคุณภาพและความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์
ในกระบวนการขนส่ง อุณหภูมิที่ไม่คงที่อาจทำให้อาหารเริ่มละลาย แล้วแข็งตัวอีกครั้ง ซึ่งจะสร้างผลึกน้ำแข็งขนาดใหญ่ที่ทำลายเนื้อสัมผัสของอาหาร นอกจากนี้ยังเสี่ยงต่อการเจริญของเชื้อโรคได้ ดังนั้น การเลือกใช้บริการขนส่งที่มีระบบควบคุมอุณหภูมิที่เหมาะสม จึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ประกอบการและผู้บริโภค
สรุป
โดยสรุปแล้ว อาหารแช่แข็ง คือ ทางเลือกอันชาญฉลาดสำหรับคนยุคใหม่ที่ต้องการความสะดวกสบายควบคู่ไปกับการบริโภคอาหารที่มีคุณภาพและปลอดภัย แม้จะมีข้อดีข้อเสียของอาหารแช่แข็งที่ต้องพิจารณา แต่หากเราเลือกซื้อ จัดเก็บ และบริโภคอย่างถูกวิธี อาหารแช่แข็งก็สามารถเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้ชีวิตของเราง่ายขึ้นและมีสุขภาพที่ดีได้
สำหรับธุรกิจที่ต้องการส่งมอบความสดใหม่ของผลิตภัณฑ์ที่ต้องควบคุมอุณหภูมิโดยไม่ลดทอนคุณภาพ MAKESEND Delivery พร้อมเป็นพันธมิตรด้านการจัดส่งที่ไว้วางใจได้ ด้วยบริการขนส่งด่วนภายในวันเดียว (Sameday Delivery) พร้อมการรับประกันคุณภาพและความสดใหม่ของสินค้าทุกประเภทหากสนใจเป็นพาร์ทเนอร์กับ MAKESEND ติดต่อได้ที่ 02-026-6848 เราเปิดบริการทุกวันเวลา 07.00 – 21.00 น.