ประเทศไทยคือดินแดนแห่งผลไม้รสเลิศ การส่งต่อความสดใหม่จากสวนถึงมือผู้บริโภคทั่วประเทศจึงเป็นความท้าทายสำคัญ ไม่ว่าคุณจะเป็นชาวสวนที่ต้องการส่งผลผลิตไปขายต่างจังหวัด, เจ้าของธุรกิจออนไลน์, หรือเพียงต้องการส่งผลไม้ตามฤดูกาลให้คนสำคัญ
พะโล้จึงได้รวบรวมข้อมูลที่จำเป็นสำหรับการเลือกผู้ให้บริการขนส่งที่เหมาะสมเพื่อรักษาคุณภาพผลไม้และผู้ให้บริการขนส่งผลไม้ในประเทศไทยมาไว้ให้หมดแล้ว
การเลือก “ผู้ให้บริการขนส่งผลไม้ที่ดี” และเหมาะสมคือหัวใจหลักที่จะการันตีว่าผลไม้จะไปถึงปลายทางในสภาพที่สมบูรณ์ที่สุด แต่ก่อนจะไปดูว่ามีเจ้าไหนให้บริการบ้าง เรามาดูหลักเกณฑ์สำคัญในการตัดสินใจเลือก เพื่อให้คุณมั่นใจได้ว่าเลือกได้ถูกต้องและคุ้มค่าที่สุด
วิธีเลือกผู้ให้บริการขนส่งผลไม้ให้ตอบโจทย์ที่สุด
การส่งผลไม้ไม่ใช่แค่การส่งพัสดุทั่วไป แต่ต้องใส่ใจในรายละเอียดที่มากกว่า นี่คือ 6 ปัจจัยหลักที่ต้องพิจารณา
1. ประเภทการควบคุมอุณหภูมิ
นี่คือปัจจัยที่สำคัญที่สุด ผลไม้แต่ละชนิดต้องการอุณหภูมิในการจัดเก็บที่แตกต่างกัน บริการขนส่งจึงแบ่งได้หลักๆ คือ:
- ขนส่งแบบควบคุมอุณหภูมิ (Chilled/Refrigerated): เหมาะสำหรับผลไม้ที่บอบบางและเน่าเสียง่าย เช่น ทุเรียน, มังคุด, ลำไย, สตรอว์เบอร์รี, เชอร์รี ซึ่งจะรักษาอุณหภูมิให้คงที่ตลอดการเดินทาง
- ขนส่งแบบทั่วไป (Ambient/Express): เหมาะสำหรับผลไม้เปลือกหนา ทนทานต่อสภาพอากาศได้ดีในระดับหนึ่ง เช่น ส้ม, มะพร้าว, สับปะรด ซึ่งอาจไม่ต้องการความเย็นจัด แต่ต้องอาศัยความรวดเร็วในการจัดส่ง
2. ความเร็วในการจัดส่งและพื้นที่ให้บริการ
“เวลา” คือศัตรูของความสดใหม่ ควรเลือกระบบขนส่งที่การันตีระยะเวลาที่ชัดเจน โดยเฉพาะการส่งข้ามจังหวัด ควรเลือกบริการที่ออกแบบมาเพื่อการส่งของสดโดยเฉพาะ และต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าผู้ให้บริการครอบคลุมพื้นที่ปลายทางของคุณ
3. การแพ็กสินค้าและมาตรฐานการจัดการ
ผู้ให้บริการที่ดีควรมีคำแนะนำเรื่องการแพ็กผลไม้ หรือมีบริการแพ็กมาให้พร้อม บางเจ้ามีข้อกำหนดชัดเจนเรื่องกล่องที่ใช้ เพื่อป้องกันการกระแทกและระบายอากาศได้ดี จำเป็นต้องสอบถามถึงกระบวนการคัดแยกและลำเลียงพัสดุว่ามีการดูแลสินค้าประเภทผลไม้เป็นพิเศษหรือไม่
4. การรับประกันความเสียหาย
อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้เสมอ การมีประกันสินค้าคุ้มครองกรณีผลไม้เน่าเสียหรือเสียหายระหว่างทาง จะช่วยเพิ่มความอุ่นใจให้กับคุณ ตรวจสอบวงเงินประกันและเงื่อนไขการเคลมให้ละเอียดก่อนตัดสินใจใช้บริการ
5. ระบบการติดตามพัสดุ (Tracking)
การที่คุณและผู้รับสามารถติดตามสถานะของพัสดุได้แบบเรียลไทม์ จะช่วยให้สามารถวางแผนการรับของได้อย่างแม่นยำ ลดความเสี่ยงที่ผลไม้จะถูกทิ้งค้างไว้เป็นเวลานาน
6. ราคาและความคุ้มค่า
อย่ามองแค่ราคาที่ถูกที่สุด แต่ให้พิจารณาความคุ้มค่าโดยรวม ตั้งแต่การเทียบราคากับประเภทบริการ (ควบคุมอุณหภูมิ/ทั่วไป), ความเร็ว, และวงเงินประกัน เพื่อให้ได้บริการที่เหมาะสมกับมูลค่าของผลไม้ที่คุณส่ง
เจาะลึกผู้ให้บริการขนส่งผลไม้ มองหาจุดเด่นและเลือกที่ใช่สำหรับคุณ
เมื่อเข้าใจหลักเกณฑ์แล้ว ก็ถึงเวลาที่พะโล้จะมาทำความรู้จักผู้ให้บริการขนส่งในตลาดขนส่งผลไม้ของไทยให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น แต่ละแบรนด์มีจุดแข็ง, กลยุทธ์, และกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกัน การเลือกที่ใช่จึงเหมือนการเลือกคู่ค้าทางธุรกิจที่เหมาะสมที่สุด เราลองไปทำความรู้จักกัน
1. Makesend

- “ผู้เชี่ยวชาญด้านความเร็วในเขตเมือง” (The Urban Speed Specialist) พวกเขาไม่ได้แข่งขันในเกมขนส่งทั่วประเทศ แต่ครองตลาดการขนส่งด่วนในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ด้วยคำมั่นสัญญา “ส่งถึงในวันเดียว” ซึ่งตอบโจทย์เศรษฐกิจแบบออนดีมานด์ (On-demand Economy) ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
- เหมาะกับใคร: ร้านจำหน่ายกระเช้าผลไม้พรีเมียม, ร้านอาหาร, หรือ Cloud Kitchen ที่ความสดใหม่แบบทันทีทันใดคือหัวใจของบริการ และต้องการสร้างความประทับใจสูงสุดให้ลูกค้าในเมืองหลวงที่ต้องการขนส่งผลไม้ภายในวันเดียว ผลไม้สดจะเดินทางถึงมือลูกค้าในเวลาไม่เกิน 2 ทุ่มของทุกวันอย่างแน่นอน โดยผลไม้ที่นิยมส่งกับ Makesend มีดังนี้
- ทุเรียน
- มังคุด
- ลำไย
- มะยงชิด
2. Inter Express Logistics

- หากวงการขนส่งควบคุมอุณหภูมิมี “มาตรฐานทองคำ” Inter Express ก็คือผู้เล่นที่อยู่ในระดับนั้น พวกเขาไม่ได้มองตัวเองเป็นแค่บริษัทขนส่ง แต่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการโลจิสติกส์สำหรับสินค้าที่ต้องการความแม่นยำสูงสุด (Precision Logistics) ชื่อเสียงของแบรนด์ถูกสร้างขึ้นจากการขนส่งเวชภัณฑ์และวัคซีน ซึ่งเป็นบทพิสูจน์ถึงความน่าเชื่อถือที่ไร้ข้อกังขา เมื่อนำมาตรฐานนั้นมาใช้กับผลไม้ จึงหมายถึงความมั่นใจสูงสุด
- เหมาะกับใคร: ผู้ประกอบการที่ส่งผลไม้เกรดพรีเมียม, ผลไม้ส่งออก, หรือสินค้ามูลค่าสูงที่ไม่สามารถประนีประนอมกับความเสียหายได้เลย เช่น ทุเรียนเกรดส่งออก, เมลอนญี่ปุ่น, หรือเชอร์รีนำเข้า เป็นตัวเลือกแรกที่มืออาชีพไว้วางใจ
3. SCG Express (บริการ Cool TA-Q-BIN)

- SCG Express Cool TA-Q-BIN ก็คือ “ผู้เชี่ยวชาญที่เปี่ยมด้วย DNA จากญี่ปุ่น” จุดแข็งของพวกเขาไม่ใช่แค่ “ความเย็น” แต่คือ “กระบวนการ” ที่เป็นระบบและมีมาตรฐานตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง ด้วยความได้เปรียบจากการมีองค์ความรู้จาก Yamato Transport (แมวดำ) ทำให้ทุกขั้นตอน ตั้งแต่ขนาดกล่อง, วัสดุทำความเย็น, ไปจนถึงการลำเลียงพัสดุ ถูกออกแบบมาอย่างพิถีพิถัน เป็นการการันตีคุณภาพด้วยระบบที่ผ่านการพิสูจน์มาแล้ว
- เหมาะกับใคร: ธุรกิจ SME และร้านค้าออนไลน์ที่ต้องการสร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้าผ่านแบรนด์ที่แข็งแกร่งและระบบที่เป็นมาตรฐานสากล เหมาะสำหรับสินค้าที่ต้องการการดูแลที่ดีอย่างสม่ำเสมอ
4. ไปรษณีย์ไทย (EMS และ Fuze Post)

- ไปรษณีย์ไทย คือ “โครงข่ายโลจิสติกส์แห่งชาติ” ที่ไม่มีใครเทียบได้ในแง่ของความครอบคลุม แม้ในอดีตภาพลักษณ์อาจไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญของสด แต่การเปิดตัว Fuze Post คือการเคลื่อนไหวเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญ โดยการดึงจุดแข็งของพาร์ทเนอร์อย่าง JWD และ Flash Express เข้ามาเสริมทัพ ทำให้ตอนนี้ไปรษณีย์ไทยไม่ใช่แค่ส่งได้ทั่วไทย แต่ยังส่ง “ของเย็น” ได้ทั่วไทยอีกด้วย
- เหมาะกับใคร: เกษตรกรหรือผู้ส่งที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล หรือต้องการส่งไปยังปลายทางที่ขนส่งเอกชนอื่นเข้าไม่ถึง เป็นตัวเลือกที่ “เข้าถึงได้” และ “พึ่งพาได้” เสมอ
5. Kerry Express

- “ราชาแห่งการขนส่งด่วนสำหรับผู้บริโภค” ที่มีภาพจำคือความรวดเร็วและจุดบริการที่หาง่ายเหมือนร้านสะดวกซื้อ พร้อมส่งไปได้ทุกพื้นที่ แม้จะไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้าน Cold Chain โดยตรง แต่ Kerry มีความเข้าใจตลาดผู้บริโภคสูง จึงปรับตัวด้วยการออกแคมเปญส่งเสริมการส่งผลไม้ตามฤดูกาล และกำหนดมาตรฐานบรรจุภัณฑ์ เพื่อรักษาคุณภาพสินค้าของตนเอง
- เหมาะกับใคร: ผู้ส่งรายย่อยและร้านค้าออนไลน์ที่เน้นความเร็วในการจัดส่งผลไม้ที่ไม่บอบบางมากนัก และต้องการความสะดวกสบายในการหาจุดบริการส่ง
6. Flash Express

- Flash Express คือ “ผู้ท้าชิงที่เข้ามาเปลี่ยนเกมด้วยราคา” กลยุทธ์หลักของพวกเขาคือการนำเสนอราคาที่เข้าถึงง่ายและบริการเข้ารับถึงหน้าบ้าน ซึ่งช่วยลดภาระให้เกษตรกรและผู้ค้ารายย่อยได้อย่างมหาศาล โมเดลการคิดราคาค่าส่งผลไม้แบบเหมาตามขนาดกล่อง ถือเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้การคำนวณต้นทุนทำได้ง่ายและชัดเจน
- เหมาะกับใคร: ผู้ประกอบการที่เน้นปริมาณการส่ง และต้องการควบคุมต้นทุนค่าขนส่งให้ต่ำที่สุด โดยอาจยอมแลกกับความเชี่ยวชาญเฉพาะทางที่น้อยกว่าผู้เล่นในกลุ่มพรีเมียม
7. Nim Express

- “ตัวเลือกที่คุ้มค่าและใช้งานได้จริง” ในตลาดขนส่งควบคุมอุณหภูมิ Nim Express พวกเขาสร้างจุดยืนในฐานะผู้ให้บริการ Cold Chain ที่มีคุณภาพในราคาที่สมเหตุสมผล เป็นสะพานเชื่อมระหว่างบริการขนส่งด่วนทั่วไปกับบริการ Cold Chain ระดับพรีเมียมที่ไว้ใจได้
- เหมาะกับใคร: ธุรกิจ SME ที่เติบโตขึ้นและต้องการยกระดับการขนส่งไปสู่แบบควบคุมอุณหภูมิ แต่ยังคงต้องการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ
8. Deliveree

- Deliveree ไม่ใช่บริษัทขนส่ง แต่เป็น “แพลตฟอร์มเทคโนโลยีด้านโลจิสติกส์” ที่ให้คุณ “เหมา” รถขนส่งทั้งคันผ่านแอปพลิเคชัน จุดเด่นคือความยืดหยุ่นและการควบคุม ผู้ใช้สามารถเลือกรถห้องเย็นเพื่อขนผลไม้จากสวนไปยังศูนย์กระจายสินค้าได้ด้วยตัวเองในเวลาที่ต้องการ โดยไม่ต้องกังวลว่าผลไม้ของเราจะถึงช้ากันเลยทีเดียว
- เหมาะกับใคร: เกษตรกรรายใหญ่ หรือธุรกิจที่ต้องการขนส่งผลไม้ล็อตใหญ่ (B2B) และต้องการความยืดหยุ่นในการจัดการเส้นทางและเวลาด้วยตนเอง
9. CJ Logistics

- “กลุ่มทุนยักษ์ใหญ่ด้านโลจิสติกส์จากเกาหลีใต้” ที่นำเสนอเทคโนโลยีและโซลูชันที่ทันสมัยเข้ามาในตลาดไทย แม้ว่าในตลาดผู้บริโภคทั่วไปอาจยังไม่เป็นที่รู้จักเท่าแบรนด์อื่น แต่ในวงการ B2B และซัพพลายเชน CJ มีความแข็งแกร่งอย่างมาก จุดเด่นคือการนำเสนอโซลูชันแบบครบวงจร ตั้งแต่การบริหารคลังสินค้า, การขนส่ง, ไปจนถึงการใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ซึ่งรวมถึงการจัดการสินค้าที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษอย่างผลไม้ด้วยเช่นกัน
- เหมาะกับใคร: ธุรกิจขนาดกลางถึงใหญ่, ผู้นำเข้า-ส่งออก, หรือแบรนด์ที่ต้องการพาร์ทเนอร์ด้านโลจิสติกส์ที่มีความเชี่ยวชาญระดับโลกและมีเทคโนโลยีที่ทันสมัยในการจัดการซัพพลายเชนทั้งหมด ไม่ใช่แค่การขนส่งของมือลูกค้าเพียงอย่างเดียว
10. Giztix

- Giztix “ตลาดกลางสำหรับงานขนส่งออนไลน์” เปรียบเสมือน Agoda หรือ Skyscanner ของวงการโลจิสติกส์ หน้าที่ของพวกเขาคือการรวบรวมผู้ให้บริการขนส่ง (โดยเฉพาะรถบรรทุก) มาไว้ในที่เดียว เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถเปรียบเทียบราคาและจองบริการได้อย่างโปร่งใส
- เหมาะกับใคร: ผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อหรือฝ่ายโลจิสติกส์ของบริษัท ที่ต้องการหาผู้ให้บริการรถเหมาคัน (รวมถึงรถห้องเย็น) ที่ให้ราคาดีที่สุดสำหรับการขนส่งในแต่ละครั้ง
จะเห็นได้ว่าผู้ให้บริการ ส่งผลไม้แต่ละเจ้ามีจุดเด่นที่แตกต่างกัน ซึ่งถ้าถามว่าควร ส่งผลไม้ที่ไหนดีคำตอบคือ ขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้ส่งว่าต้องการให้ผลไม้ไปถึงมือผู้รับอย่างไร แต่หากเป็นการส่งภายในกรุงเทพฯ และปริมณฑลในจำนวนหรือน้ำหนักไม่สูงมากนัก แนะนำให้เลือกผู้ให้บริการที่ส่งถึงมือผู้รับอย่างรวดเร็วและมีระบบดูแลสินค้าอย่างมีมาตรฐาน อย่าง Makesend เพราะนอกจากจะมั่นใจได้ว่าสินค้าจะถึงมือผู้รับอย่างปลอดภัยแล้ว ยังช่วยสร้างความประทับใจในตัวสินค้าได้อีกทางด้วย
อ่านเพิ่มเติม :